หนังสือเดินทางตอน จากหนังสือสู่ฟ้าเสวยสวรรค์ สู่งานนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ


หนังสือเดินทางตอน  จากหนังสือสู่ฟ้าเสวยสวรรค์  สู่งานนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ   

        ผมได้หนังสือสู่ฟ้าเสวยสวรรค์ ของสำหนักพิมพ์มติชน  จากงานสัปดาห์หนังสือเมื่อปลายเดือนตุลาคม 60  เป็นหนังสือรวบรวมรายละเอียดต่างๆ  ในการจัดเตรียมพระเมรุมาศ  เพื่อให้พร้อมใช้งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช   ทั้งเล่มเต็มเปลี่ยมไปด้วยรายละเอียด  แนวคิด  ความเพียรของคนหลายร้อยคน  ในการทำงานแข่งกับเวลาที่มีเพียง 8 เดือน  แต่จำนวนงานช่างมีมากมายเหลือเกิน   การทำงานนี้ได้สำเร็จจึงเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรรย์มาก   ดังนั้นเมื่องานสำนักราชวังได้เปิดพระเมรุมาศเพื่อจัดเป็นงานนิทรรศการฯ  การไปชมด้วยตาตนเองจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง 


กำหนดการและช่องทางการเข้าชม
            งานนิทรรศการฯ  จะเปิดระหว่างวันที่ 2-30 พฤศจิกายน 2560  เวลา 07:00-22:00 น.   จะให้เข้าชมเป็นชุด  ชุดละ 5,000 คน  มีเวลาให้เข้าชม 1 ชั่วโมงต่อชุด   และทุกวันเสาร์ และอาทิตย์เวลา 08:00-17:00 น.  จะมีการแสดงโขนหน้าพระที่นั่งทรงธรรม
            การเตรียมตัวเพื่อเข้าชม  ควรเผื่อเวลาเดินทางให้มากหน่อย  เพราะไม่สามารถบอกได้ว่าวันไหนจะมีผู้เข้าชมมากหรือน้อย  ผมไปถึงก่อนเวลาหกโมงเช้าเล็กน้อย  แต่แถวรอคิวก็ยาวมากแล้ว   ถ้าไปเวลากลางวันอากาศจะร้อนมาก  แต่ภายในงานจะมีร่มไว้ให้ยืมใช้ไม่ต้องพกไปเอง  ภายในส่วนจัดนิทรรศการจะไม่มีน้ำแจก  แต่จะมีแจกตั้งแต่จุดคัดกรองควรหยิบน้ำมาอย่างน้อยสองขวด  สำหรับทานตอนนั่งรอเข้างาน  อีกขวดไว้ทานตอนเดินชมนิทรรศการฯ   ภายในส่วนแสดงมีห้องน้ำซึ่งสะอาดมาก  ต้องขอชมผู้จัดงานที่สามารถดูแลได้ดีถึงแม้ประชาชนที่เข้าชมมีจำนวนมากถึงวันละหลายหมื่นคน 
            จุดคัดกรองมีทั้งหมด 5  จุด   โดยแบ่งเป็น 
ประชาชนทั่วไป
1.)  หน่วยบัญชาการรักษาดินแดง (รด.) 
2.)  ถนนฝั่งท่าช้าง
3.)  ถนนด้านพระแม่ธรณีบีบมวยผม  (หน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์) 
                        ผู้พิการ
                                         4.)  หลังกระทรวงกลาโหม
                        พระภิกษุ  สามเณร
                                5.)  บริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์



            การแต่งการให้ยึดถือเช่นเดียวกับการเข้าชมวันพระแก้ว  ผู้หญิงสามารถใส่กางเกงได้  แต่ต้องไม่ใช่ยีนฟอกขาด  หรือรัดรูปเกินไป  กล้องถ่ายภาพสามารถเอาเข้าได้ทุกขนาดไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่  ภาพนิ่งหรือวิดีโอ   ขาตั้งกล้องสามารถเขาเข้าได้  แต่ถ้าเป็นเวลากลางวันไม่ต้องนำไปก็ได้  เพราะแสงมีมากพอ Speed Shutter สูงมากพอที่จะสามารถถือถ่ายภาพได้  ผมแบกไปเหมือนกันแต่ไม่ได้ยิบมาใช้เลย   ไม่อนุญาตให้ใช้ไม้เซลฟี่  และการถ่ายภาพต้องอยู่ในอาการสำรวม  ไม่หยิบจับสิ่งที่นำมาจัดแสดง 
            เมื่อผ่านจุดคัดกรองจะมีเจ้าหน้าที่แจกบัตรติดหน้าอก  ให้ติดที่หน้าออกเบื้องซ้าย  โดยบัตรนี้จะเป็นตัวบ่งบอกว่าเป็นผู้ชมรอบไหน (ในแต่ละรอบใช้สีต่างกัน) อาคารจัดแสดงมีหลายอาคารขอให้บริหารเวลาให้ดี  เพราะ 1 ชั่วโมงนั้นน้อยมาก    


ความรู้ทั่วไปก่อนเข้าชมนิทรรศการ
แนวคิดไตรภูมิ
            การสร้างพระเมรุมาศ  มีความสัมพันธ์กับคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิ  ซึ่งมีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของจักรวาล  เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าทวยเทพ  ตามความเชื่อของพราหมณ์ถือว่า  พระเจ้าแผ่นดินถือเป็นพระอิศวร หรือพระนารายณ์แบ่งภาคลงมาบำรุงโลก  เมื่อเสด็จสวรรคตก็จะตั้งพระบรมศพบนพระเมรุมาศ  เพื่อเป็นการส่งพระบรมศพและพระวิญญาณกลับสู่เขาพระสุเมรุดังเดิม
            ไตรภูมิ  หมายถึง  ภพภูมิทั้ง 3  คือ กามภูมิ (11 ชั้น)  รูปภูมิ (16 ชั้น) และอรูปภูมิ (4 ชั้น)  โดยมีรายละเอียดพอสังเขปดังนี้
กามภูมิ  เป็นภูมิของผู้ที่ยังเกี่ยวข้องในกาม  มีสวรรค์ 6 ชั้น  โลกมนุษย์ 1 ชั้น  และพวกที่ต่ำกว่ามนุษย์อีก 4 ชั้น  รวมเป็น 11 ชั้น
รูปภูมิ  เป็นที่อยู่ของพรหมที่มีรูป  เป็นผู้เสวยสุขแต่ไม่เกี่ยวข้องอยู่ในกาม  มีทั้งหมด 16 ชั้น
อรูปภูมิ  เป็นที่อยู่ของพรหมที่เหนือกว่ารูปภูมิ  ไม่มีรูป  ไม่เกี่ยวข้องอยู่ในกาม  มีทั้งหมด  4  ชั้น


            เขาพระสุเมรุ   ตามความเชื่อในไตรภูมิ  เขาพระสุเมรุมีความสูง 84,000 โยชน์  ในบางตำราเรียกว่า เหมคีรี ซึ่งแปลว่าภูเขาทอง  ดังนั้นการสร้างประเมรุมาศจึงใช้สีทองเป็นหลักเพื่อให้เป็นไปตามคติความเชื่อ

            เชิงเขาพระสุเมรุจะมีป่าหิมพานต์  หิม หรือ หิมะ   ส่วนพานต์  เป็นคำเดียวกับคำว่า วน (วะ-นะ) ซึ่งแปลว่าป่า  ดังนั้นหิมพานต์จึงแปลว่าป่าหิมะนั้นเอง   หิมพานต์เป็นที่อยู่ของสัตว์หิมพานต์  เช่น  กินนร  กินรี  คชสีห์  ราชสีห์  ครุฑ  นาค  เป็นต้น  ในการสร้างพระเมรุมาศครั้งนี้  ดร. พรธรม  ธรรมวิมล ภูมิสถาปนิก  สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร  ผู้ออกแบบภูมิทัศน์  ได้เลือกใช้น้ำมาล้อมรอบองค์พระเมรุมาศ  โดยจำลองให้เป็นสระอโนดาต  ซึ่งในความเชื่อถือว่าเป็นสระที่สำคัญที่สุดในกลุ่มมหาสระทั้ง 7  เนื่องจากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 5 สาย คือ แม่น้ำคงคา,  แม่น้ำยมุนา,  แม่น้ำมหิ, แม่น้ำสรภู  และแม่น้ำอจิรวดี  ต่างมีต้นน้ำที่มหาสระอโนดาตทั้งสิ้น

            ท้าวจตุโลกบาล
            ท้าวจตุโลกบาล  เป็นเทวดาที่คอยปกปักษ์ป้องกันภยันตรายของโลกมนุษย์  ประจำทิศทั้งสี่ดังนี้
        1.)    ท้าวเวสสุวรรณ  หรือ ท้าวกุเวร  รักษาทิศอุดร (เหนือ)  มีพวกยักษ์เป็นบริวาร  ตามคติไทยเรียกพยายม 
        2.)    ท้าวธตรฐ (ทะ-ตะ-รด)  รักษาทิศบูรพา (ตะวันออก)  มีพวกคนธรรพ์เป็นบริวาร 
        3.)    ท้าววิรูปักษ์  รักษาทิศประจิม (ตะวันตก)  มีพวกนาคเป็นบริวาร
        4.)    ท้าววิรุฬหก  รักษาทิศทักษิณ (ใต้)  มีพวกกุมภัณฑ์เป็นบริวาร  กุมภัณฑ์ หรือบางที่เรียกว่า รากษส  จะเป็นคนละพวกกับพวกยักษ์  แต่มีร่างกายใหญ่โตเหมือนกัน  พวกนี้จะเป็นเทวดาที่ดูแลสมบัติ  ดูแลป่าไม้ ภูเขา  แม่น้ำ
ท้าวเวสสุวรรณ
ท้าววิรูปักษ์


ท้าววิรุฬหก
ท้าวธตรฐ






พระเมรุมาศของ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
แนวคิดและแบบร่างพระเมรุมาศฯ
กรมศิลปากรได้ยึดหลักแนวคิดในการออกแบบพระเมรุมาศจากหลัก ข้อคือ
1.      ออกแบบและจัดสร้างพระเมรุมาศอย่างสมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
2.      ออกแบบตามหลักโบราณราชประเพณี
3.      ใช้แนวคิดคติไตรภูมิตามคัมภีร์พุทธศาสนา

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  สยามบรมราชกุมารี  มีพระราชวินิจฉัยเลือกแบบร่างพระเมรุมาศทรงบุษบก ยอด  7ชั้นเชิงกลอนของนายก่อเกียรติ  ทองผุด  นายช่างศิลปกรรมชำนาญงาน  สำนักสถาปัตยกรรม  กรมศิลปากร  ซึ่งเป็นแบบที่สวยงามสมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช


อ. ก่อเกียรติ  ทองผุด  ผู้ออกแบบพระเมรุมาศ

ดร. พรธรรม  ธรรมวิมล  ภูมิสถาปนิก  สำนักสถาปัตยกรรม  กรมศิลปากร   ผู้ออกแบบภูมิทัศน์ของพระเมรุมาศ

บุษบก  คือปราสาทสี่เหลี่ยม  เปิดโล่ง  ซึ่งเป็นแบบสำหรับพระมหากษัตริย์เท่านั้น  ที่องค์ประธานจะมี ชั้นเชิงกลอน (หลังคา ชั้น)  บนยอดอันเชิญพระนพดลเศวตฉัตร (ร่มขาวเก้าชั้น)  ซึ่งเป็นเครื่องสูงใช้ได้เฉพาะพระมหากษัตริย์เท่านั้น  และ อ.ก่อเกียรติฯ  ได้แนวทางในการจัดวางบุษบก ยอดจาก  พระมหาธาติเจดีย์ภัคดีประเทศ จ.ประจวบคีรีขันธ์  ซึ่งทำได้สวยงามอย่างมาก

พระเมรุมาศกว้างยาวด้านละ 60 เมตร  แต่ถ้านับรวมถึงขอบสระอโนดาตจะกว้างยาวถึงด้านละ 70 เมตร  ความสูงเดิมที่ได้ออกแบบไว้คือ 50.49 เมตร  แต่ภายหลังได้ขยายแบบเป็น 53 เมตร  มีทั้งหมด ชั้น ดังนี้

ฐานชาลาชั้นที่ ๑ เป็นฐานสิงห์เป็นรั้วราชวัตร ฉัตร แสดงอาณาเขตพระเมรุมาศ มีท้าวจตุโลกบาลประทับยืนที่มุมฐานชาลาหันหน้าเข้าสู่บุษบกประธาน มีเทวดาคุกเข่าถือบังแทรก
     ฐานชาลาชั้นที่ ๒ เป็นฐานปัทม์เป็นที่ตั้งของ บุษบกหอเปลื้องเครื่องยอดบุษบกเชิงกลอนห้าชั้น จำนวน ๔ องค์ตั้งอยู่ที่มุมฐานทั้งสี่ที่ใช้สำหรับจัดเก็บพระโกศทองใหญ่และพระโกศไม้จันทน์และอุปกรณ์สำหรับงานพระราชพิธี
     ฐานชาลาชั้นที่ ๓ เป็นฐานสิงห์เหนือฐานสิงห์เป็นฐานเชิง บาตรท้องไม้มีเทพชุมนุมโดยรอบจำนวน ๑๐๘ องค์  เป็นที่บุษบกซ่างอยู่ทั้ง มุม สำหรับให้พระสงฆ์ผลัดเปลี่ยนกันสวดพระอภิธรรม

            อาคารต่างๆ รอบพระเมรุมาศจะมีทั้งหมด ประเภท  คือ
  1.        พระที่นั่งทรงธรรม  กว้าง 44.5 เมตร ยาว 155 เมตร  เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10  พระบรมวงษานุวงศ์  พระราชอาคันตุกะ  แขกต่างประเทศ  สามารถรองรับได้ประมาณ 2,800 ท่าน  ในงานนิทรรศการฯ  จะเป็นส่วนจัดแสดงประราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
  2.         ศาลาลูกขุน  มีทั้งหมด หลัง  เป็นที่พักของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่  ในงานนิทรรศการฯ  จัดแสดงการก่อสร้างพระเมรุมาศและอาคารประกอบ  งานสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ราชรถและพระยานมาศ
  3.         ทิม  เป็นที่ให้ข้าราชบริพารใช้พัก  ระหว่างพระราชพิธี
  4.         ทัพเกษตร  เป็นอาคารที่ถือเป็นแนวเขตบริเวณพิธี  ใช้เป็นที่พักข้าราชการที่มาร่วมพิธี


เล่าเรื่องตามภาพ




ผมไปถึงบริเวณท้องสนามหลวงก่อนหกโมงเช้า  แต่มีคนมีรอคิวจำนวนมากแล้ว  ดังนั้นใครที่จะไปคำนวณเวลาให้ดีนะครับ


เมื่อผ่านจุดคัดกรองแล้ว  เจ้าหน้าที่จะพาเดินมานั่งรอภายในเต้นท์พักรอ   ในนี้จะไม่ร้อนเพราะติดตั้งพัดลมไว้ให้จำนวนมาก   ระหว่างรออยู่สามารถเดินไปเข้าห้องน้ำได้   


บริเวรด้านหน้าทางเข้าจะมีการจัดภูมิทัศน์  แปลงนาสาธิต

ภายนอกพระเมรุมาศ บริเวณทางเข้าด้านทิศเหนือ  ได้มีการจัดภูมิทัศน์เพื่อแสดงถึงพระอฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  ในด้านน้ำ และการเกษตร  โดยมีการจัดเป็นแสดงฝายแม้ว  กังหันน้ำชัยพัฒนา  รวมถึงแปลงนาสาธิต  โดยกรมการข้าวได้ทำคันนาเป็นรูปเลข ๙ และปลูกข้าวโดยมีสามสายพันธุ์สามระยะ  คือ  1. พันธุ์ปทุมธานี 1 หรือราชินีแห่งข้าว  เป็นตัวแทนของข้าวภาคกลางปลูกในระยะต้นกล้า  2. พันธุ์ข้าวหอมมะลิ หรือราชาแห่งข้าว  เป็นตัวแทนของข้าวเหนือและอีสานปลูกในระยะแตกกอ  และ 3. พันธุ์ปทุมธานี 80 หรือ กข31 ปลูกในช่วงออกรวง   ทั้งหมดนี้กรมการข้าวได้ดำเนินการเตรียมการตั้งแต่เดือน ก.ค. 60 เพื่อให้พร้อมใช้งานในเดือน ต.ค. และยังเตรียมต้นข้าวไว้ผัดเปลี่ยนอีก ณ พิพิธพันธ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติ  เพื่อให้ประชาชนที่มาชมนิทรรศการได้เห็นภาพที่สมบูรณ์อยู่ตลอดเวลาจัดงาน  และยังมีการปลูกพืชที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ท่านไว้ด้วย  เช่น  หญ้าแฝก  ต้นยางนา และมะม่วงมหาชนก

เจ้าหน้าที่ของกรมการข้าวกำลังตรวจแปลงนา  เพื่อความสมบูรณ์ที่สุด

 








ในแต่ละชั้นชาลาจะราวบันไดนาคซึ่งจะใช้นาคคนละแบบ


















สระอโนดาต  ด้านทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ  เป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์หิมพานต์จำพวกช้าง   ปั้นและหล่อเรซิ่นพร้อมลงสี โดยวิทยาลัยเพาะช่าง  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์


 



























 ตามคติความเชื่อ  ทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุจะเป็นที่อยู่ของม้า  มี 4 ตะกูล วลาหก, อัสสาชาไนย, สินธพ และ อัสดร






















การแกะสลักไม้เพื่อประดับประโกศจันทน์
ศิลปะการซ้อนไม้



ท่อนฟืนไม้จันทร์  มีทั้งหมด 24 ท่อน  เขียนลายลงรักปิดทองตามแบบโบราณ

อุปกรณ์  และเครื่องประกอบในการเขียนลาย











แต่ละจุดจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำ และคำอธิบายสิ่งต่างๆ เกือบทุกจุด
 ตัวอย่างเชือกที่ใช้ฉุดลากราชรถ   กรมอู่ทหารเรือ  เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดสร้าง  เนื่องจากถือว่าทหารเรือมีความชำนาญด้านการทำและใช้เชือกที่สุด

กรมสรรพวุธทหารบก  รับหน้าที่ในการบูรณปฏิสังขรณืราชรถ


หุ่นจำลองราชรถปืนใหญ่
ราชรถปืนใหญ่ของจริง




























ในงานพระราชพิธีฯ  ครั้งนี้มีการออกแบบกระถางเซรามิกที่ใช้ประดับบริเวณโดยรอบพระเมรุมาศใหม่ทั้งหมด  ออกแบบโดยนายวศินบุรี  สุพานิชวรภาชน์  ไม่แน่ใจว่ามีจำนวนเท่าไหร่แน่  ผมเก็บภาพมาได้แค่บางส่วนเท่านั้น













การขยายแบบ  คือการนำแบบขนาด 1:10  มาขยายในอัตราส่วน 1:1   เพื่อให้เห็นภาพทั้งหมดและเก็บรายละเอียดได้ครบถ้วน

 

อุปกรณ์ และเครื่องทรงของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  สยามบรมราชกุมารี  ในการขยายแบบ






 ปัจจุบันเพื่อให้เกิดความถูกต้องและควบคุมมาตรฐานการผลิตได้ดีขึ้น  จะสร้างของจริงเพียงชิ้นเดียวเพื่อทำพิมพ์หล่อไฟเบอร์กลาส














 ที่พื้นทั้งสี่ด้านจะปูกระเบี้องเป็นลายพิเศษ  เพื่อเป็นตัวแทนทวิปทั้งสี่ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ  
  • อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทิศเหนือของภูเขาพระสุเมรุ
  • ปุพพวิเทหะ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ
  • ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทิศใต้เขาพระสุเมรุ คือโลกของเรา
  • อมรโคยาน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุ


การออกแบบจัดว่าพระเมรุมาศครั้งนี้  จะมีแนวแกนสำคัญสองแกนคือ  
แกนเหนือ-ใต้  องค์พระเมรุประธานจะตรงกับ รัตนเจดีย์ในวันพระแก้ว  
และแนวแทนตะวันออก-ตะวันตก  พระเมรุประธานจะตรงกันกึ่งกลางพระอุโบสถ  วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์




QC Code มีทุกจุด  สามารถชมข้อมูลเพิ่มเติมได้
 












ขอขั้นเล่าเรื่องฉากบังเพลิงอีกสักหน่อย   ฉากบังเพลิงมีจุดประสงค์เพื่อเป็นเครื่องกั้นสายตาไม่ให้เห็นการเคลื่อนย้ายพระบรมศพจากพระโกศโหญ่สู่พระโกศรอง  และไม่ให้ลมตีไฟแตกกระจาย   ขนาดของฉากบังเพลิง สูง 4.4 เมตร กว้าง 5.35  เมตร  แต่ละทิศจะเขียนลายไม่เหมือนกัน   โดยทั้งหมดจะดึงคติเทวสมมุติ  ที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์  จึงวาดภาคอวตาร 8 ปางจาก 10 ปาง  และด้านล่างของฉากบังเพลิงได้วาดพระราชกรณียกิจที่ทำไว้ตลอดพระชนมายุ



ทิศเหนือ  หมวดน้ำ   พระนารายณ์อวตารมาช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นภัยทางน้ำ
ด้านบน

  • อวตารเป็นเต่า  
  • อวตารเป็นปลากรายทอง


ด้านล่าง

  • ฝนหลวง
  • ฝายต้นน้ำ
  • อ่างเก็บนำ้เขาเต่า
  • เขื่อนปาสักชลสิทธิ์
  • โครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำปากพนัง
  • กังหันน้ำชัยพัฒนา







ทิศตะวันออก  หมวดดิน   พระนารายณ์อวตารปราบอสูร
ด้านบน

  • อวตารเป็นนรสิงห์  
  • อวตารเป็นหมูป่า


ด้านล่าง



  • ดินกรวด  ศูนย์ศึกษาและพัฒาห้วยฮ่องไคร้
  • ดินเค็ม  ศูนย์ศึกษาและพัฒาอ่าวคุ้งกระเบน
  • ดินทราย  ศูนย์ศึกษาและพัฒาเขาหินซ้อน และโครงการหุบกระพง-ดอนห้วยขุน
  • ดินดานลูกรัง  ศูนย์ศึกษาและพัฒาห้วยทราย
  • ดินพรุ  ศูนย์ศึกษาและพัฒาพิกุลทอง
  • ดินเปรี้ยว ศูนย์ศึกษาและพัฒาพิกุลทอง




ศูนย์ศึกษาและพัฒาพิกุลทอง

ศูนย์ศึกษาและพัฒาห้วยฮ่องไคร้


ทิศใต้  หมวดไฟ   พระนารายณ์อวตารทำสงครามปราบอสูร
ด้านบน

  • อวตารเป็นปรศุรามหรือรามสูร  
  • อวตารเป็นพระรามในรามเกียรติ์


ด้านล่าง



  • สบู่ดำ  ปลูกเพื่อสกัดน้ำมันทำเป็นไบโอดีเซล
  • โรงงานผลิตไบโดดีเซล
  • เชื้อเพลิงอัดแท่ง
  • ก๊าซชีวภาพ
  • พลังงานเซลล์แสงอาทิตย์
  • กังหันน้ำผลิตไฟฟ้าที่ประตูน้ำคลองลัดโพธิ์





ทิศตะวันตก หมวดลม   พระนารายณ์อวตารปัดเป่าความทุกข์ยากของมนุษย์
ด้านบน

  • อวตารเป็นมนุษย์ขี่ม้าขาวชื่อกัลกี
  • อวตารเป็นพระกฤษณะในรามยาณะ


ด้านล่าง



  • โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ  เพื่อผันน้ำจากที่ต่ำชักขึ้นที่สูง
  • กังหันลม  โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
  • ผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานลมและกังหันลมสูบน้ำ
  • ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบวาตภัยแหลมตะลุมพุก  จ.นครศรีธรรมราช  เป็นที่มาของมูลนิธิราชประชานะเคราะห์
  • บางกระเจ้า  อ.พระประแดง  พระราชดำริเห็นว่าพื้นที่นี้เป็นพื้นที่สีเขียวและเป็นปอดของกรุงเทพฯ  เนื่องจากลมมรสุมจากอ่าวไทยจะพัดเอาอากาศบริสุทธิ์ที่ผลิตจากพื้นที่แห่งนี้เข้าฟอกอากาศเสียในกรุงเทพฯ เป็นเวลากว่าปีละ 9 เดือน











 





พระที่นั่งทรงธรรม  มีความยาวถึง 155 เมตร


สุนักทรงเลี้ยง  คุณโจโฉ  และคุณทองแดง












วันนี้เด็กๆ เยอะ  น่าเสียดายที่เวลาน้อย  น้องๆ  อาจจะได้เก็บเกี่ยวความรู้น้อยไปนิด


ภาพจิตกรรมฝาผนักในพระที่นั่งทรงธรรม










 ดอกหน้าวัวสีชมพูเป็นพันธุ์ที่หายาก  เป็นสีที่สมเด็จย่าทรงโปรด เมื่อก่อนสมเด็จย่าจะทรงเก็บแล้วส่งให้ในหลวง ร.๙ เป็นประจำ


โต๊ะทรงงานจำลอง






        การประดับเครื่องสดประดับพระจิตกาฐาน ใช้ประดับเรือนยอดเก้าชั้น  ประดับชั้นรัดเอว  ประดับชั้นเรือนไฟ  สำนักราชวังเป็นผู้รับผิดชอบ  โดยมีสามกลุ่มงานใหญ่ๆ คือ งานแทงหยวก  งานดอกไม้ประดิษฐ์  และงานแกะสลักของอ่อน

        ดอกปาริชาต  ดอกไม้สวรรค์  ตามตำนานเล่าว่าเมื่อดอกบานจะส่งกลิ่นหอมไปถึง 5,000 โยชน์  มนุษย์ คนธรรพ์ เทวดา นางฟ้า เมื่อได้สูดดมรับกลิ่นหอมแล้วจะระลึกชาติได้














สวนนงนุชเป็นผู้รับผิดชอบในการตกแต่งบริเวณพิธีฯ  ต้องใช้ต้นไม้ถึง  15 สายพันธุ์ จำนวน 186,988 ต้น ในภาพเป็นการเปลี่ยนต้นดาวเรืองที่เริ่มโรย  นำต้นใหม่มาแทนที













พระจิตกาธาน  หรือถ้าเป็นของสามัญชนก็คือเชิงตะกอน  ในครั้งนี้ได้สร้างมีความสูงถึง 11 เมตร  นับเป็นพระจิตกาธานที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ไทย











         ขอแทรกเล่าเรื่องครุฑอีกสักครั้ง   ตามตำนานครุฑ  และนาคเป็นพี่น้องต่างมารดากัน  บิดาชื่อพระกัศยปมุนี เป็นฤษีที่มีฤทธิ์มาก  ได้มีชายาสองคนที่เป็นพี่น้องกันชื่อ วินตาและกัทรุ   นางกัทรุได้ขอพรจากพระกัศยปมุนีผู้เป็นสามีว่าขอให้ตนมีลูกมาก  ส่วนนางวินตาขอให้ตนมีลูกที่มีฤทธิ์มาก  

        เมื่อคลอดออกมานากัทรุจรึงมีลูกเป็นนาคถึง 1,000 ตัว  ส่วนนางวินตาคลอดออกมาเป็นไข 2 ฟอง  เวลาผ่านไปถึง 500 ปีไขก็ยังไม่ฟักเป็นตัวสักที  นางวินตาใจร้อนเลยทุบไข่ฟองหนึ่งออก  บังเกิดเป็นเทพบุตรแต่มีเพียงครึ่งตัวเพราะยังไม่ครบกำหนดฟัก  ภายหลังได้ชื่อว่าพระอรุณ    พระอรุณโกรธแม่ตนเองมากจึงสาบแม่ตนเองให้ต้องเป็นทาสนางกัทรุ 500 ปี   แล้วตัวเองก็เหาะหนี้ไปอยู่กับพระอาทิตย์  ไปเป็นสาถีให้พระอาทิตย์  และมีอีกหน้าที่คือคอยบังแสงพระอาทิตย์ไว้ส่วนหนึ่งไม่ให้ส่งมาโลกมนุษย์มากเกินไป  ไม่อย่างนั้นโลกมนุษย์อาจมอดไหม้ได้   หลังจากนั้นมาเราจึงเรียกแสงเรืองรองก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นยามเช้าว่าแสงอรุณ


        หลังจากนั้นนางวินตาก็ได้แพ้พนันการทายสีม้าอุไฉศรพ ม้าทรงรถของพระอาทิตย์ว่าสีขาวหรือดำ  ถ้าใครทายผิดจะต้องเป็นทาสของอีกคนถึง 500 ปี   นางวินตาทายว่าสีขาว  ซึ่งก็เป็นม้าสีขาวจริงๆ  แต่นางกัทรุทำอุบายส่งลูกนาคทั้งพันตัวของตนให้แปลงกายเป็นขนสีดำไปแทรกตามตัวของม้า   นางวินตาจึงเสียพนันกลายเป็นทาสไป

        เมื่อครบกำหนดฟักไข่ใบที่สองก็แตกออกเป็นครุฑ  ตัวขยายใหญ่โตมหึมามีฤทธิ์มาก  เมื่อพยาครุฑทราบเรื่องว่าแม่ตนเองถูกโกงพนันจนต้องไปเป็นทาสถึง 500 ปี  จึงโกรธมากไล่จิกกินพวกพยานาค  ไม่ว่าจะเจอที่ไหนจะต้องจับมากิน  แต่จะเลือกกินเฉพาะมันเหลวที่ท้องเท่านั้นส่วนตัวก็โยนทิ้งมหาสมุทรไป

        เมื่อเห็นดังนั้นเหล่าพยานาคเลยต่างหนี้เอาตัวรอด  อย่างอนันตนาคราชก็หนี้ไปพึ่งใบบุญพระนารายณ์  ขออยู่ใกล้ๆ  ยอมเป็นพระแท่น(ที่นอน)ให้พระนารายณ์  ส่วนกลุ่มของวาสุกรีก็อพยบลงไปใต้บาดาล  แต่ก็ยังไม่วายโดนพยาครุฑจับกินอยู่   ตอนหลังจึงใช้วิธีกลืนก้อนหินเข้าไปให้หนักท้องเวลาครุฑมาจับก็ยกยากพอมีเวลาให้พยานาคต่อสู้ได้บ้าง   ตอนหลังพยาครุฑทราบอุบายดังนั้นจึงใช้วิธีจับครุฑที่หางแทนเอาหัวห้อย  แล้วเขย่าให้หินล่วงออกจากท้องจึงจับกินได้ง่าย

       ที่เล่ามาซะยาวก็เพื่อจะบอกว่าศิลปะครุฑยุดนาค (ครุฑยึดนาค)  ของไทยเอามาจากตำนานนี้  เวลาวาดหรือปั้นก็ตามจะต้องเอาหัวพยานาคไว้ข้างล่างเสนอ




เสาไฟต่างๆ  ในบริเวณพิธีฯ  จะเป็นรูปครุฑทั้งสิ้น  เนื่องจากครุฑเป็นพาหนะของพระนารายณ์






         ใครยังไม่ได้ไป  แล้วพอจะมีโอกาสไปขอให้ไปนะครับ  คุ้มค่ากับเวลาแน่นอน  เพราะงานนี้เป็นแหล่งรวมศิลปะไทยแขนงต่างๆ  รายละเอียดปราณีตสวยงาม  แสดงถึงความวิริยะอดทนของทุกคนที่มีส่วนรวมในการรวมกันในการส่งเสด็จพ่อหลวงสู่สวรรคคาลัยจริงๆ


        ส่วนหนังสือถ้าใครสามารถหาซื้อมาเก็บไว้ได้ก็แนะนำให้ซื้อไว้นะครับ  หนังสือทำดีรายละเอียดเยอะ  เมื่อเทียบคุณภาพกับราคาแล้วถือว่าถูกมากๆ ครับ





ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม